รีวิวหนังสือ Four Thousand Weeks (ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์)
🌼 หนังสือ time management เล่มนี้ยกให้เป็นเล่มที่ต้องอ่านซักครั้งในชีวิต (เพราะชั้นรีเลทมาก ชอบมาก – opinion 100%)
ปกติเราก็จะเข้าใจว่าการจัดการเวลาคือการทำให้เวลาที่มีค่ามัน productive มากที่สุด สิ่งที่ตามมาก็จะได้แก่
- Get things done mentality
- To-do list, schedule และทริคการจัดการเวลาต่างๆ
- ไม่เพียงแค่นั้น มันพ่วงมากับความเครียด, วิตกกังวล, ความรู้สึกผิดที่ใช้เวลาเรื่อยเปื่อย แล้วมันก็ขยายสเกลจากปัจเจกบุคคล ไปจนถึงระดับประเทศ ระดับโลก เพราะทุกคนแม่งรู้สึกเหมือนกัน
ที่ชอบมากกก ก็คือหนังสือเล่มนี้มันตะโกนใส่หน้าเราเลย ว่าสิ่งที่พวกแกคิดว่าแกจะยัดกิจกรรมที่แกอยากทำทุกอย่างเข้าไปในเวลาจำกัด (โดยเฉลี่ยชีวิตเรามี 4000 วีค) มัน-เป็น-ไป-ไม่-ได้-โว้ย!
แกกำลังถูกหลอกโดยตัวเอง และความกดดันจากคนรอบข้าง ว่าแกสามารถควบคุมเวลาได้ ทั้งๆที่แกก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง มีขีดจำกัด มีความสามารถจำกัด และมีเวลาจำกัด ⏳
หลังจากอ่านแล้ว คิดอะไรได้ร้อยแปด แต่เลือกอันสำคัญๆ ที่ชอบมาสรุปให้ฟัง ดังนี้:
- ยอมรับและทำความเข้าใจก่อน ว่าเรามีเวลาจำกัด และมีความสามารถจำกัด ในชีวิตนี้เราจะไม่ได้เป็นทุกอย่างที่เราอยากเป็น หรือทำทุกอย่างที่อยากทำ ➡️ result คือกดดันตัวเองน้อยลง อะไรที่ทำไม่เสร็จในเวลาที่จำกัดก็ช่างมัน (โดยเฉพาะเรื่องงาน)
- “Time is a river that sweeps me along, but I am the river” – อันนี้ชอบชิบหาย 🌟คนเขียนเค้าquote มาจากหนังสืออื่น มันหมายความว่า เวลากับตัวเราคือสิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น if time is a river, the only thing you can do is to swim with it -> enjoy the present moment. Life is here in front of you. ประมาณเนี้ย ยกตัวอย่างนะ เวลาเราไปเที่ยวเวเคชั่น บางทีใจเราคิดแต่เรื่องงาน เรื่องคนนู่นคนนี้ ไม่จดจ่อกับโมเม้นตรงหน้า (มันคล้ายๆ กับคำสอนศาสนาพุทธอะ โคตรจิตวิญญาณเลย ชอบๆๆๆ)
- ชีวิตจะอยู่จะไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ – ข้อนี้ทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังกังวลกับอนาคต กับคนรอบข้าง กับเรื่องต่างๆ ที่จริงๆแล้ว เราไม่ต้องเสียเอเนอจี้กับมันเยอะ เพราะมันเป็นเรื่องในอนาคต แล้วเราคอนโทรลอนาคตได้หรอ – คำตอบคือไม่
- Happiness is only real when shared – ขอยาดยกมาจากหนัง Into The Wild (สร้างจากเรื่องจริง) -> มันจริงเทอออ เราจะมีทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็ได้ you think you have all the time in the world for yourself แต่มันจะโดดเดี่ยวมากเลย ถ้าไม่ใช้แชร์กับคนรอบข้าง เพื่อน ครอบครัว คนรัก สังคมที่เราอยู่ และอื่นๆ. (อ่านบท Digital nomad กับเรื่องของ Mario Salcedo คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนเรือสำราญ)
- สุดท้าย Cosmic Insignificance Therapy 🌟 บทสุดท้ายดาวเด่นของหนังสือเล่มนี้ ที่มีคนพูดถึงเยอะมาก! – มันเริ่ดจริงอะมันคือแนวคิดที่บอกว่าเราตัวเล็กมากในโลกกว้างใหญ่ และยิ่งเล็กลงไปอีกในจักรวาลนี้, เพราะงั้นปัญหาที่เราเจออยู่อะ อยากให้มองชีวิตเป็นภาพกว้างๆ แล้วซูมออกมา เราจะเห็นว่าเราแทบไม่มีความสำคัญอะไรเลยกับโลกใบนี้ เราตาย – โลกอยู่, ปัญหาสังคมยังอยู่, ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม ถ้าคิดได้แบบนี้เราก็จะใช้ชีวิตของเราแบบเต็มที่มากขึ้น บลาๆ ไปอ่านเอง แอบแนบมาให้ดู
💡 สรุป ฟังดูอาจจะดีเพรสหน่อยๆ เพราะเขาเขียนช่วงที่โควิดระบาด แล้วทั้งโลกเผชิญกับ The Great Pause – แต่อ่านแล้วไม่เกินจริง ไม่เพ้อฝัน เรียลมากๆ ไม่บอกให้ขยันกว่าเดิมด้วย แต่บอกให้เอนจอยชีวิตตรงหน้า เอนจอยสิ่งที่มีอยู่ให้มากที่สุด
เห้อ เขียนจนเหนื่อย 🔥 เอาไปเลย 1000/10 หนังสือที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เคยอ่านมา
ปล. แอบอ่านยาก แกรมม่าค่อนข้างซับซ้อน และชั้นไม่รู้ศัพท์ 5555