รีวิวหนังสือ Four Thousand Weeks (ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์)

Maprang22
2 min readApr 17, 2023

--

🌼 หนังสือ time management เล่มนี้ยกให้เป็นเล่มที่ต้องอ่านซักครั้งในชีวิต (เพราะชั้นรีเลทมาก ชอบมาก – opinion 100%)

ปกติเราก็จะเข้าใจว่าการจัดการเวลาคือการทำให้เวลาที่มีค่ามัน productive มากที่สุด สิ่งที่ตามมาก็จะได้แก่

  • Get things done mentality
  • To-do list, schedule และทริคการจัดการเวลาต่างๆ
  • ไม่เพียงแค่นั้น มันพ่วงมากับความเครียด, วิตกกังวล, ความรู้สึกผิดที่ใช้เวลาเรื่อยเปื่อย แล้วมันก็ขยายสเกลจากปัจเจกบุคคล ไปจนถึงระดับประเทศ ระดับโลก เพราะทุกคนแม่งรู้สึกเหมือนกัน

ที่ชอบมากกก ก็คือหนังสือเล่มนี้มันตะโกนใส่หน้าเราเลย ว่าสิ่งที่พวกแกคิดว่าแกจะยัดกิจกรรมที่แกอยากทำทุกอย่างเข้าไปในเวลาจำกัด (โดยเฉลี่ยชีวิตเรามี 4000 วีค) มัน-เป็น-ไป-ไม่-ได้-โว้ย!

แกกำลังถูกหลอกโดยตัวเอง และความกดดันจากคนรอบข้าง ว่าแกสามารถควบคุมเวลาได้ ทั้งๆที่แกก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง มีขีดจำกัด มีความสามารถจำกัด และมีเวลาจำกัด ⏳

หลังจากอ่านแล้ว คิดอะไรได้ร้อยแปด แต่เลือกอันสำคัญๆ ที่ชอบมาสรุปให้ฟัง ดังนี้:

  1. ยอมรับและทำความเข้าใจก่อน ว่าเรามีเวลาจำกัด และมีความสามารถจำกัด ในชีวิตนี้เราจะไม่ได้เป็นทุกอย่างที่เราอยากเป็น หรือทำทุกอย่างที่อยากทำ ➡️ result คือกดดันตัวเองน้อยลง อะไรที่ทำไม่เสร็จในเวลาที่จำกัดก็ช่างมัน (โดยเฉพาะเรื่องงาน)
  2. “Time is a river that sweeps me along, but I am the river” – อันนี้ชอบชิบหาย 🌟คนเขียนเค้าquote มาจากหนังสืออื่น มันหมายความว่า เวลากับตัวเราคือสิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น if time is a river, the only thing you can do is to swim with it -> enjoy the present moment. Life is here in front of you. ประมาณเนี้ย ยกตัวอย่างนะ เวลาเราไปเที่ยวเวเคชั่น บางทีใจเราคิดแต่เรื่องงาน เรื่องคนนู่นคนนี้ ไม่จดจ่อกับโมเม้นตรงหน้า (มันคล้ายๆ กับคำสอนศาสนาพุทธอะ โคตรจิตวิญญาณเลย ชอบๆๆๆ)
  3. ชีวิตจะอยู่จะไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ – ข้อนี้ทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังกังวลกับอนาคต กับคนรอบข้าง กับเรื่องต่างๆ ที่จริงๆแล้ว เราไม่ต้องเสียเอเนอจี้กับมันเยอะ เพราะมันเป็นเรื่องในอนาคต แล้วเราคอนโทรลอนาคตได้หรอ – คำตอบคือไม่
  4. Happiness is only real when shared – ขอยาดยกมาจากหนัง Into The Wild (สร้างจากเรื่องจริง) -> มันจริงเทอออ เราจะมีทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็ได้ you think you have all the time in the world for yourself แต่มันจะโดดเดี่ยวมากเลย ถ้าไม่ใช้แชร์กับคนรอบข้าง เพื่อน ครอบครัว คนรัก สังคมที่เราอยู่ และอื่นๆ. (อ่านบท Digital nomad กับเรื่องของ Mario Salcedo คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนเรือสำราญ)
  5. สุดท้าย Cosmic Insignificance Therapy 🌟 บทสุดท้ายดาวเด่นของหนังสือเล่มนี้ ที่มีคนพูดถึงเยอะมาก! – มันเริ่ดจริงอะมันคือแนวคิดที่บอกว่าเราตัวเล็กมากในโลกกว้างใหญ่ และยิ่งเล็กลงไปอีกในจักรวาลนี้, เพราะงั้นปัญหาที่เราเจออยู่อะ อยากให้มองชีวิตเป็นภาพกว้างๆ แล้วซูมออกมา เราจะเห็นว่าเราแทบไม่มีความสำคัญอะไรเลยกับโลกใบนี้ เราตาย – โลกอยู่, ปัญหาสังคมยังอยู่, ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม ถ้าคิดได้แบบนี้เราก็จะใช้ชีวิตของเราแบบเต็มที่มากขึ้น บลาๆ ไปอ่านเอง แอบแนบมาให้ดู

💡 สรุป ฟังดูอาจจะดีเพรสหน่อยๆ เพราะเขาเขียนช่วงที่โควิดระบาด แล้วทั้งโลกเผชิญกับ The Great Pause – แต่อ่านแล้วไม่เกินจริง ไม่เพ้อฝัน เรียลมากๆ ไม่บอกให้ขยันกว่าเดิมด้วย แต่บอกให้เอนจอยชีวิตตรงหน้า เอนจอยสิ่งที่มีอยู่ให้มากที่สุด

เห้อ เขียนจนเหนื่อย 🔥 เอาไปเลย 1000/10 หนังสือที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เคยอ่านมา

ปล. แอบอ่านยาก แกรมม่าค่อนข้างซับซ้อน และชั้นไม่รู้ศัพท์ 5555

--

--

Maprang22
Maprang22

Written by Maprang22

Based in Chiang Mai, Thailand | Since when did writing become my therapy? :)

No responses yet